บทสัมภาษณ์นักกายภาพบำบัด ตอน มองร่างกายผ่านสายตานักกายภาพ

Share this :

ไม่รู้ว่าหลายคนจะสงสัยเหมือนแอดมินมั้ยว่าทำไมเวลาเรามีอาการปวดแล้วไปหานักกายภาพเขาสามารถประเมินได้ไงว่าเราเป็นโรคอะไร หรือ มีความผิดปกติตรงส่วนไหนของร่างกาย วันนี้แอดมินเลยขอสัมภาษณ์ พี่เซ้ง กภ.ชวกิจ เก้าเอี้ยน ผู้ก่อตั้งแบรนด์ mr.big และ พี่แม๊ค กภ.เศรษฐศักดิ์ ศิริกำเนิด นักกายภาพบำบัดประจำ mr.big clinic ที่มีประสบการณ์ในวงการกายภาพบำบัดมานานกว่า 15 ปีกันครับ

ในสายตานักกายภาพมากประสบการณ์เวลาเห็นสรีระร่างกาย มักจะเห็นอะไรที่แตกต่างจากสายตาคนทั่วไปยังไง?

พี่แม๊ค : เวลาที่มีคนไข้เข้ามาที่คลินิก นักกายภาพก็จะมีสัญชาตญาณถูกสอนมาให้มองการเคลื่อนไหวในทุกอิริยาบถว่ามีความไม่สมดุลตรงไหนบ้าง อาศัยการดูเยอะๆ เจอเคสบ่อยๆ ทำให้มีประสบการณ์ในการมองคนไข้มากขึ้น เหมือนอาจารย์บางท่านเห็นคนไข้เดินมาก็รู้แล้วว่าเป็นอะไร ตรวจร่างกายคนไข้เพิ่มอีกหน่อย

พี่เซ้ง : ตั้งแต่ตอนเรียนเราจะได้จับกล้ามเนื้อทุกมัดเลย ยกเว้นพวกกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ข้างในร่างกาย แต่เราเห็นและได้เรียนรู้จากอาจารย์ใหญ่โดยตรง จำได้ในทุกรายละเอียด หลังจากเรารู้จักแล้วว่ากล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูกเส้นประสาท และเส้นเอ็นมันเป็นยังไง เราก็จะรู้ว่าการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ปกติและไม่ปกติมันเป็นยังไง แล้วเกิดจากอะไร ต่อไปนานๆจะเกิดอะไรขึ้น อันนี้ก็จะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนเรียน พอเราออกมาใช้ชีวิตเราจะติดพฤติกรรมแอบสังเกตคนโน้น คนนี้ ท่ายืน ท่าเดิน แล้วก็คิดต่อไปว่าเขาน่าจะปวดอะไร ป่วยเป็นอะไร เป็นต้น

พี่เซ้ง พี่แม๊ค มีประสบการณ์ในวงการกายภาพบำบัดมานานเท่าไหร่แล้วครับ?

พี่เซ้ง : พี่จบปี 49 จากมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นนักกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลเอกชนประมาณ 2 ปีครึ่ง หลังจากนั้นก็ลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว

พี่แม๊ค : ส่วนพี่ก็จบมาจากที่เดียวกับเซ้งปี 49 เหมือนกัน หลังจากนั้นก็อยู่กับคนไข้มาตลอดเป็นสายคลินิกทั้งที่ไทยและต่างประเทศ เจอคนไข้มาทุกรูปแบบทั้งระบบประสาท โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง และคนไข้ที่มีปัญหาปวดกล้ามเนื้อต่างๆ

พี่เซ้ง : ทั้งสองแบบเลยนะที่ต้องใช้ทักษะการมอง แล้วก็มีอีกหนึ่งที่ต้องใช้ทักษะการมองก็คือ “เด็ก” พอเราทำงานกับเด็กเราต้องใช้สัญชาตญาณด้านการมองการสังเกตเยอะมาก เช่น ดูว่าอายุประมาณนี้เขาต้องเคลื่อนไหวยังไง และเขาขาดอะไรไปบ้าง

ปัญหาในเด็กที่พี่เซ้งและพี่แม๊คเจอ อะไรบ่อยที่สุด?

พี่เซ้ง : เด็กที่เจอบ่อยคือมีปัญหาขาดออกซิเจนตั้งแต่ในครรภ์และตอนออกมาจากครรภ์ของแม่แล้ว และเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าที่มาจากพันธุกรรม ซึ่งเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าจะค่อนข้างสังเกตความผิดปกติยากกว่า

พี่แม๊ค : สำหรับพี่ เมื่อก่อนเจอเด็กที่มีปัญหาแบบที่เซ้งบอกเยอะมาก แต่ช่วงหลัง พบว่าเด็กมีปัญหาอาการปวดเยอะมากขึ้น เมื่อก่อนเราเรียนเรารู้ว่าเด็กไม่ค่อยปวดแต่เดี๋ยวนี้น้องอายุ 9 ขวบ คุณแม่พามาปรึกษาเพราะมีปัญหาปวดคอ ซึ่งน่าเกิดจากพฤติกรรมของเด็กที่มักจะอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ไอแพด ซึ่งส่งเสริมให้เขาเริ่มมีปัญหาในอาการปวดมากขึ้น

คุณเซ้ง : เมื่อก่อนเด็กมักจะปวดเพราะหิ้วกระเป๋าหนักไปโรงเรียน แต่เดี๋ยวนี้กระเป๋าจะไม่ค่อยหนักล่ะแต่จะไปใช้ร่างกายที่ผิดท่ากับโทรศัพท์มือถือ และ คอมพิวเตอร์ กันซะมากกว่า

ถ้าจะเปรียบตัวเองเป็นอะไรสักอย่าง พี่เซ้ง พี่แม๊ค จะเปรียบตัวเองเป็นอะไร?

พี่แม๊ค : ในมุมมองของพี่ที่ทำสายคลินิกมาตลอด พี่คิดว่าตัวเองเหมือนเครื่องสแกนในสนามบิน เวลาเราเดินผ่านมันจะบอกว่ามีอะไรซ่อนอยู่ มีอะไรแปลกปลอม ในมุมของนักกายภาพก็มองว่าคนไข้มีปัญหาอะไรซ่อนอยู่ข้างใน อาจจะมีปัญหากระดูกสันหลังคด กล้ามเนื้อดึง มันมีปัญหาอยู่ข้างใน นักกายภาพมีเครื่องมือ 2 อย่าง คือ สายตาในการใช้วิเคราะห์ และ มือใช้ในการจับดูสแกนว่ามีอะไรผิดปกติรึป่าว

พี่เซ้ง : พี่เปรียบตัวเองเป็นตำรวจจับคนทำผิด แต่นิสัยพี่คือจับคนทำท่าผิด ก็จะไปสะกิดให้เขาเปลี่ยนท่า คนไหนยืนแอ่นพุงพี่จะไปสะกิดให้เขาแขม่วท้อง ดึงกระดุมเม็ดบนขึ้น

ทักษะในการมองแบบ PT Vision ใครก็เป็นได้รึเปล่า ต้องใช้ประสบการณ์ขนาดไหน?

พี่เซ้ง : นักกายภาพมีความรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่พี่จะต้องฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ อย่างเช่นพี่เห็นคนเดินมาหาเราที่บูธบอกว่าปวดคอมากเลย อยากได้หมอนที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เขาหน่อย เราเห็นเขาเราบอกได้ว่าเขาน่าจะมีอาการ Bamboo spine วันที่พี่เพิ่งจบมาใหม่ๆพี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่า Bamboo spine มันเป็นยังไง ดูก็ไม่รู้ แต่ว่าพี่ได้เจอและเคยได้รักษาคนไข้ที่มีอาการนี้มาก่อน เลยเห็นว่าโรคนี้มีลักษณะอาการเป็นยังไง และเรียนรู้ที่จะประเมินอาการคนไข้ในเบื้องต้นและรักษาได้อย่างรวดเร็ว

อยากรู้ว่าโรค Bamboo spine ที่พี่เซ้งพูดถึงคืออะไรครับ?

พี่เซ้ง : Bamboo spine เป็นโรคที่กระดูกสันหลังมันเชื่อมติดกัน ปกติแล้วแต่ละข้อของกระดูกสันหลังจะต้องมีเจลวุ้นเชื่อมกันในแต่ละข้อ แต่โรค Bamboo spine มันจะมีแต่แคลเซียมไปเกาะยึดแข็งกันเป็นลำเหมือนกระบอกไม้ไผ่แข็งๆ ทำให้ไม่สามารถก้มหรือหมุนได้ ซึงอาการเหล่านี้ควรตรวจเลือด ปรึกษาแพทย์ด้านกระดูกและข้อ และพบกับนักกายภาพบำบัดเพื่อช่วยลดปวดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เพราะคนไข้ที่เป็น Bamboo spine จะหายใจได้ไม่เต็มที่ และกระดูกเปราะลง

 

นั่งก็ปวด นอนก็ปวด จะรู้ได้ไงว่าปวดเพราะอะไร?

พี่เซ้ง : ก็จะต้องหาสาเหตุก่อนว่าเราปวดแบบไหน ทำกิจกรรมอะไรแล้วทำให้ปวดมากขึ้น ทำอะไรทำให้ปวดน้อยลง เริ่มปวดเมื่อไหร่ และ หลังทำกิจกรรมอะไรแล้วปวด ก็จะทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าปวดจากอะไร และเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง แต่ถ้าจะให้บอกว่าปวดจากอะไรจะต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียด

พี่แม๊ค : อาการปวดมันมีหลายปัจจัยมากๆ จะต้องเข้ามารับการตรวจประเมินว่าสาเหตุเกิดจากอะไรและค่อยๆแก้ไปทีละสาเหตุ

แล้วนักกายภาพเคยปวดกันบ้างมั้ย และดูแลตัวเองยังไง?

พี่เซ้ง : นักกายภาพเคยปวดนะ พี่เองก็เคยปวดหลัง แต่ด้วยความที่พี่รู้ว่ามันเกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบเราก็ไม่ตกใจ พี่ก็รักษาตัวเองด้วยการอยู่ในท่าที่ถูกต้อง ยืดกล้ามเนื้อ ไปนวดตามร้านนวดทั่วไป พี่ก็ชอบนวด แต่พี่ก็เลือกไปเมื่อพี่พร้อมถ้าเรายังอักเสบเยอะอยู่พี่ก็ยังไม่นวดนะ ดูแลตัวเองก่อน ถึงแม้พี่จะมีคลินิกพี่ก็ต้องดูแลตัวเอง เพราะรู้ว่าอาการปวดเกิดจากอะไร แต่ถ้าสามวันแล้วยังไม่ดีขึ้นพี่ก็ต้องมาทำกายภาพแล้ว

พี่แม๊ค : นักกายภาพก็คนนะครับ ฮ่าๆๆ  อาการปวดจริงๆ มันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มันเป็นปกติของร่างกายนะ มันกำลังบอกว่าร่างกายเรากำลังผิดปกติ เมื่อก่อนผมทำคนไข้ระบบประสาทพี่ยกคนไข้ตัวหนักๆ แล้วพี่ลืมเก็บหลังตัวเอง ทำให้พี่ปวดหลังหรือเวลาพี่นั่งรักษาคนไข้นานๆ พี่อยู่ในท่านั้นนานๆพี่ก็ปวดหลังปวดเข่า ถามว่าพอเป็นแล้วพี่จัดการตัวเองยังไง พี่เป็นนักกายภาพก็พอรู้วิธีการจัดการอาการปวดไม่ว่าจะออกกำลังกาย ยืดกล้ามเนื้อหรือใช้เครื่องมือทำตัวเอง หรือผลัดกันทำกับเพื่อนที่ทำงานกันครับ

พี่เซ้ง : ที่แม๊คบอกว่าการปวดไม่ได้น่ากลัวน่ะดีนะ เพราะว่าจริงๆ แล้วคนเราต้องปวด คืออาการปวดเป็นกลไกของร่างกายที่จะห้ามไม่ให้เราเกิดการบาดเจ็บที่มากขึ้น เช่น ถ้าเราก้มแล้วปวด เราก็จะไม่ก้มต่อใช่มั้ย แต่ถ้าเราไม่ปวดเรายิ่งก้มต่อไปอีก เราก็บาดเจ็บมากขึ้น คืออาการปวดมันมีประโยชน์มันเป็นกลไกป้องกันตัวเรา แต่เราต้องรู้ว่าปวดแบบไหนดี หรือ ปวดแบบไหนไม่ดี

หลายครั้งที่พี่เซ้งรู้ได้เลยว่าลูกค้าเป็นคนนอนกรน แม้ลูกค้าไม่ได้บอก พี่เซ้งดูยังไง?

คุณเซ้ง : พี่ก็ดูเส้นรอบคอ ดูว่าคอเขาเป็นยังไง ดูระยะของคางถ้าระยะคางสั้นก็อาจจะทำให้กรนได้ และดูการออกเสียงของเขา ก็พอจะเดาได้ว่าเขากรนหรือไม่ แล้วก็พอจะเดาได้ว่าถ้าคนๆ นี้นอนหงายเขาจะนอนยกแขนขึ้นหรือเปล่า เพราะเรารู้ว่าถ้าเขาเป็นคนหน้าท้องใหญ่ ถ้าเขานอนยกแขนขึ้น มันจะมีกล้ามเนื้อที่กระชับหลังเขาอยู่แล้วเวลาเขายกแขนขึ้นเขาจะนอนสบาย กล้ามเนื้อนั้นจะช่วยซัปพอร์ตหลังล่างของเขา คนมีพุงจะชอบนอนยกแขนขึ้น อันนี้เป็นมุมมองจากสาายตานักกายภาพ แล้วเราก็คาดการณ์พฤติกรรมของเขา

จากที่ได้พูดคุยกับพี่เซ้ง และ พี่แม๊ค ที่คร่ำวอดในวงการกายภาพบำบัดมานานถึง 15 ปีแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับการมองร่างกายผ่านสายตานักกายภาพก็ทำทราบว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถมองแล้วจะรู้เลยว่าคนนี้อาจมีภาวะของโรคอะไร ความสามารถเหล่านี้จะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ พบเจอปัญหาบ่อยๆ และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จึงจะทราบอาการปวดและประเมินคนไข้ ถ้าหากใครกำลังสงสัย หรือ มีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวด มาปรึกษานักกายภาพที่ mr.big clinic กันก่อนได้นะครับ ทางคลินิกมีทีมนักกายภาพบำบัดที่มากประสบการณ์ คอยให้คำปรึกษาและรักษาได้อย่างตรงจุดและถูกวิธี หรือมาพบกับนักกายภาพบำบัดได้ที่สาขาของ mr.big ตามตารางกิจกรรมนอนกับนักกายภาพบำบัดก็ได้นะครับ

—– ชมสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ทางช่อง Youtube  ของ mr.big ได้ที่   และฝากกดติดตาม กด Subscribe เพื่อจะได้อัพเดทสาระดีๆกับพวกเรานะครับ ——

Share this :